ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละ โรงแรมต่างมีแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน เพื่อให้ธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตหรือลดผลกระทบที่ เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด ธุรกิจโรงแรมที่มีแผนและกลยุทธ์สามารถรับมือและจัดการกับภาวะวิกฤตได้ดี จะสามารถ ผ่านพ้นสถานการณ์และฟื้นตัวได้ดี บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอเกี่ยวกับ การทำความเข้าใจกับ ธุรกิจโรงแรม การบริหารธุรกิจโรงแรมที่มีความแตกต่างจากธุรกิจอื่น รายได้จากการดำเนินธุรกิจโรงแรม ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจโรงแรม ตัวอย่างแนวทางการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมในช่วง สถานการณ์โควิด ตลอดจนข้อเสนอแนะเพื่อให้ธุรกิจโรงแรมอยู่รอดและผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตหรือลด ผลกระทบที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด โดยอาศัยวิธีการเพิ่มรายได้ หรือลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละโรงแรมควรจะมีการศึกษาวิธีการที่เหมาะสมของแต่ละโรงแรม อันจะนําไปวางแผนและ ดำเนินการในการบริหารจัดการในรูปแบบต่างๆ ภายใต้ภาวะวิกฤตโรงแรมในปัจจุบันได้อย่างมั่นใจและสร้าง ภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับกับสถานการณ์ในอนาคต ให้อยู่รอดภายใต้สถานการณ์โควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน
ถึงแม้ว่าสถานการ COVID-19 จะมีความรุนแรงน้อยลง แต่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและ โรงแรมควรเร่งปรับตัวเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยที่ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ ต้องปรับตัวและหาช่องทางทำรายได้ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อลดต้นทุนและพยุงกิจการให้อยู่รอดต่อไป ควรหันมาให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนหรือปรับเวลาการทำงานให้เหมาะสมและปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จของการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ (operating cost) ยกตัวอย่างเช่น อาหาร เครื่องดื่ม ค่าน้ำยาทำความสะอาด และค่าสบู่แชมพูที่ใช้ในแต่ละห้องพัก เป็นต้น
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นของต้นทุน บทความนี้จะยกตัวอย่างของการเปลี่ยนรูปแบบการใช้สบู่แชมพูในรูปแบบของขวดเล็กขนาด 30 มล.ซึ่งมีต้นทุนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 4 บาท มาเป็นการใช้สบู่และแชมพู รูปแบบรีฟิล แล้วรูปแบบรีฟิลคืออะไร คือการใช้ขวดที่สามารถเติมได้มาตั้งในห้องน้ำของแต่ละห้อง สบู่1ขวด แชมพู1ขวด หรือใช้แบบเครื่องกดสบู่เหลวติดผนัง รูปแบบรีฟิลนี้เมื่อสบู่หรือแชมพูหมด ทางโรงแรมก็จะทำการซื้อ สบู่และแชมพูในแบบแกลอน 3.8 ลิตร 5 ลิตร หรือ 20 ลิตร นำมาเติมที่ขวดเดิม หรือเครื่องกดสบู่เหลวติดผนัง ยกตัวอย่างเช่น โรงแรม ก มีห้องพักทั้งหมด 40 ห้อง ใช้สบู่และแชมพู ขนาด 30 มล. ในหนึ่งเดือนถ้ามีลูกค้าเข้าพัก 80% ของจำนวนห้อง เท่ากับ 32 ห้องต่อคืน คูณด้วย 30 วัน ดังนั้น โรงแรม ก จะมีอัตราการใช้ห้องพักอยู่ที่ 960 ครั้งต่อเดือน เมื่อนำมาคูณกับจำนวนการใช้ สบู่และแชมพูขนาด 30 มล. โรงแรม ก จะต้องใช้สบู่และแชมพูจำนวน 1,920 ขวดต่อเดือน ต้นทุนขวดละ 4 บาท ดังนั้น 1 เดือน จะมีต้นทุนสบู่และแชมพูอยู่ที่ 7,680 บาท โดยคิดปริมาณสบู่เท่ากับ 29 ลิตร และแชมพู 29 ลิตร อย่างไรก็ตามเมื่อเราเปลี่ยนมาใช้แบบรีฟิล ต้นทุนสบู่และแชมพู ขนาด5ลิตร จะอยู่ที่ 250 บาท เมื่อใช้ในปริมาณเท่ากันที่เดือนละ 29 ลิตรทั้งสบู่และแชมพู จะทำให้ต้องใช้สบู่และแชมพูขนาด 5 ลิตร จำนวนอย่างละ 6 แกลอน รวมเป็น 12แกลอนต่อเดือน คิดเป็นต้นทุนเท่ากับ 3,000 บาทต่อเดือน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับต้นทุนการใช้แบบขนาด 30 มล. เท่ากับ 7,680 บาท จะทำให้โรงแรม ก ประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้เดือนละ 4,680 บาท ถึงจะเป็นต้นทุนที่ดูไม่มากนักแต่ถ้าเราลดต้นทุนประเภทนี้ในข้ออื่นๆด้วยเมื่อนำมารวมกันก็จะสามารถลดต้นทุนให้กับโรงแรมได้อย่างมาก
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก : https://themomentum.co/california-bans-hotel-shampoo-bottle/
https://brandinside.asia/hotel-subscription-trend-after-covid-19/
บทความที่เกี่ยวข้อง
